วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Internet Of Things (IoT)

Internet of Things (IoT) คือ "อินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง" หมายถึง การที่อุปกรณ์ต่างๆ สิ่งต่างๆ ได้ถูกเชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างสู่โลกอินเตอร์เน็ต ทำให้มนุษย์สามารถสั่งการควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เช่น การเปิด-ปิด อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า (การสั่งการเปิดไฟฟ้าภายในบ้านด้วยการเชื่อมต่ออุปกรณ์ควบคุม เช่น มือถือ ผ่านทางอินเตอร์เน็ต) รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ เครื่องมือสื่อสาร เครื่องมือทางการเกษตร อาคาร บ้านเรือน เครื่องใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆ ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เป็นต้น
อีกนัย
IoT มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า M2M ย่อมาจาก Machine to Machine คือเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมต่ออุปกรณ์กับเครื่องมือต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เทคโนโลยี IoT มีความจำเป็นต้องทำงานร่วมกับอุปกรณ์ประเภท RFID และ Sensors ซึ่งเปรียบเสมือนการเติมสมองให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ขาดไม่คือการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต เพื่อให้อุปกรณ์สามารถรับส่งข้อมูลถึงกันได้ เทคโนโลยี IoT มีประโยชน์ในหลายด้าน แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยง เพราะหากระบบรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์ และเครือข่ายอินเตอร์เน็ตไม่ดีพอ ก็อาจทำให้มีผู้ไม่ประสงค์ดีเข้ามาขโมยข้อมูลหรือละเมิดความเป็นส่วนตัวของเราได้ ดังนั้นการพัฒนา IoT จึงจำเป็นต้องพัฒนามาตรการ และระบบรักษาความปลอดภัยไอทีควบคู่กันไปด้วย

แบ่งกลุ่ม Internet of Things

ปัจจุบันมีการแบ่งกลุ่ม Internet of Things ออกตามตลาดการใช้งานเป็น 2 กลุ่มได้แก่
 
  1. Industrial IoT
    คือ แบ่งจาก local network ที่มีหลายเทคโนโลยีที่แตกต่างกันในโครงข่าย Sensor nodes โดยตัวอุปกรณ์ IoT Device ในกลุ่มนี้จะเชื่อมต่อแบบ IP network เพื่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ต
      
  2. Commercial IoT
    คือ แบ่งจาก local communication ที่เป็น Bluetooth หรือ Ethernet (wired or wireless) โดยตัวอุปกรณ์ IoT Device ในกลุ่มนี้จะสื่อสารภายในกลุ่ม Sensor nodes เดียวกันเท่านั้นหรือเป็นแบบ local devices เพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้เชื่อมสู่อินเตอร์เน็ต
NETPIE (Network Platform for Internet of Everything) คือ cloud platform ที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยให้เกิดการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์หรือ things ในเครือข่าย IoT โดยมีประโยชน์ต่อนักพัฒนาและอุตสาหกรรมไทย ศึกษาแนวทางจากคลิปของ NECTEC , CAT








ref ; NECTEC , CAT

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เทคโนโลยีไบโอเมตริก Biometric Technology

คำว่าไบโอเมตริก (Biometric) ประกอบขึ้น จากคำว่า ไบโอ (Bio) ซึ่งหมายถึงสิ่งมีชีวิต และ คำว่าเมตริก (metrics) ซึ่งหมายถึงคุณลักษณะที่ สามารถถูกวัดค่า หรือประเมินจำนวนได้ เมื่อนำ ความหมายของทั้ง 2 คำมารวมกัน ไบโอเมตริกก็ เลยหมายถึงเทคโนโลยีในการใช้คุณลักษณะหรือ พฤติกรรมบางอย่างในสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นคุณลักษณะ ที่เป็นเอกลักษณ์ และสามารถเทียบวัดหรือนับ จำนวนได้มาผนวกเข้ากับหลักการทางสถิติ เพื่อการ แยกแยะ หรือจดจำแต่ละบุคคล หรืออีกในหนึ่ง
ไบโอแมทริกซ์ (biometrics) คือ วิธีการใช้ข้อมูลทางชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะเฉพาะทางกายภาพหรือพฤติกรรม มาใช้ในการตรวจสิทธิหรือแสดงตน เช่น ลายนิ้วมือฝ่ามือ เสียง ม่านตา เรตินา ใบหน้า ดีเอ็นเอ ลายเซ็น เทคโนโลยีดังกล่าวมีให้เห็นกันเช่นในภาพยนต์แนว ไซ-ไฟ

การใช้งานเทคโนโลยีไบโอเมตริกมีอยู่ 2 ลักษณะ ได้แก่
       1.  การระบุตัวผู้ใช้ (Identification) หรือการจับคู่เปรียบเทียบแบบหนึ่งต่อจำนวน มากกว่า (1:N)
            โดยการนำตัวอย่างๆ หนึ่งไป เปรียบเทียบกับข้อมูลที่รวบรวมไว้
       2.  การตรวจพิสูจน์ตัวผู้ใช้ (Verification) หรือการจับคู่เปรียบเทียบแบบหนึ่งต่อหนึ่ง (1:1) โดย
            ระบบจะตรวจสอบตัวอย่าง ๆ หนึ่งว่าตรงกันกับ ข้อมูลที่ได้ถูกเก็บไว้ก่อนหน้าหรือไม่ โดยผู้
            ใช้จะต้องการป้อนรหัสประจำตัวหรือ PIN (Personal Identification Number) ที่ระบุถึงตัว
             ผู้ใช้เองก่อนแล้วจึงค่อยส่งข้อมูลทางไบโอเมตริกของตนเองให้ กับระบบ หลังจากนั้นระบบ
             จะตรวจดูว่าข้อมูลที่ได้ รับมาตรงกับข้อมูลที่ได้ถูกบันทึกไว้ก่อนหน้านี้หรือ ไม่ โดยจะเป็น
             การตรวจสอบแบบข้อมูลแบบหนึ่ง ต่อหนึ่ง

ขั้นตอนของเทคโนโลยีไบโอเมตริก
        1. เก็บตัวอย่างคุณลักษณะที่ต้องการวัด เช่น สแกนลายนิ้วมือออกมาเป็นภาพถ่ายลายนิ้วมือ
        2. เก็บข้อมูลไบโอเมตริกจากตัวอย่าง ที่สแกนได้ จะเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากภาพถ่าย ลายนิ้วมือ              ด้วยการคำนวณโดยใช้อัลกอริทึ่มเฉพาะ
        3. เปรียบเทียบข้อมูลเชิงปริมาณที่วัดได้จาก ข้อสอง กับข้อมูลที่ได้บันทึกเอาไว้ก่อนหน้านี้
            ซึ่งอาจบันทึกไว้ในฐานข้อมูลกลาง หรือบันทึกไว้บน สมาร์ทการ์ด
        4. พิจารณาผลการเปรียบเทียบว่า ถูกต้อง ตรงกันหรือไม่
        5. ตัดสินว่าบุคคลนี้เป็นใคร (Identification) หรือเป็นตัวจริงตามที่มีการกล่าวอ้าง (Verification)                    หรือไม่

การนำเทคโนโลยีไบโอเมตริกมาใช้
เทคโนโลยีไบโอเมตริก เป็นการเพิ่มความ ปลอดภัยให้กับองค์กรหรือแม้แต่ระดับประเทศเอง เนื่องจากสามารถป้องกันบุคคลที่น่าสงสัย หรือผู้ไม่ ประสงค์ดีเข้ามาก่อกวนได้ ดังนั้นในปัจจุบันจึงเริ่มมี การนำเทคโนโลยีทางด้านนี้ไปใช้กันอย่างแพร่หลาย ในงานหลาย ๆ ด้าน เช่น
           - งานทางด้านกฎหมาย (Law enforcement) : เกี่ยวกับอาชกรข้ามชาติการสืบสวน
              การกระทำผิดทางอาญา ช่วยผู้รักษากฎหมายในการจับกุมตัวผู้ กระทำผิด,
           - องค์กรหรือหน่วยงาน (Government) : องค์กร เกี่ยวกับการค้นคว้าและวิจัยที่เป็นส่วนความลับ                 ของบริษัทหรือของหน่วยงาน, การระวังภัยเข้า- ออกบริษัท
           - ทางการทหาร (Military) : เขตแดนและ พรมแดนที่มีการค้าขาย, ระวังภัยสำหรับบุคคลสำคัญๆ                รวมถึงการตรวจสอบพาสปอร์ตในรูป ของ E-passport โดยอาศัยการบันทึกข้อมูล
              ชีวภาพ (Biometric Data) ได้แก่ ลายนิ้วมือ และรูปใบหน้า ไว้ใน Contact less Integrated
              Circuit  ซึ่งฝังอยู่ใน passport
           - ระบบความปลอดภัยของระบบเน็ตเวิร์ค( Network Security ):ธุรกิจองค์กรอินเทอร์เน็ต ,                            Extranets. VPNs, บริษัททำเกี่ยวกับซอฟแวร์ ดีไซต์ - ธุรกิจต่าง ๆ,
              การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ระหว่างองค์กร, การจ่ายเงินผ่านเครือข่าย,
               การเรียกใช้งานศูนย์บริการ, การใช้ไบโอเมตริก แทนกระเป๋าสตางค์ เป็นต้น
            - งานทางด้านธนาคาร (Banks) : ATM, VPNs, สาขาย่อยอัตโนมัติอย่าง ATM Express
            - ความปลอดภัยสำหรับบุคคล ( Individual ) : ความปลอดภัยสำหรับคอมพืวเตอร์ส่วนบุคคล                      (Pc-Security), ระบบล็อกประตูห้อง, การเรียน แบบออนไลต์(E- learning)

จากข้อมูลเบื้องต้น เทคโนโลยีไบโอ เมตริกเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการตรวจสอบความ ถูกต้องของบุคคลจากลักษณะทางกายภาพของ มนุษย์ ซึ่งสามารถแยกความแตกต่างมนุษย์ทุก คนในโลกได้ ดังนั้นจึงช่วยในเรื่องความปลอดภัย โดยการป้องกันการแอบอ้างสิทธิของบุคคลอื่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ทุกองค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ การนำระบบนี้ไปใช้ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะเกิด ขึ้นกับคนในองค์กรหรือลูกค้าภายนอกองค์กร อีกด้วย

ref; hitop.co.th ,thonburi-u.ac.th,อัศวิน รุ่งแสงเงิน: “เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์”, มกราคม 2546