วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

MIMO (MULTIPLE-INPUT AND MULTIPLE-OUTPUT)

ในระบบ Wifi ได้มีการเริ่มต้นใช้เทคโนโลยี MIMO หรือ multiple-input and multiple-output กันมาตั้งแต่ปี 2007 แล้วก็ตั้งแต่มาตรฐาน 802.11n ที่เริ่มใช้เทคนิคใหม่นี้ ทำให้เราเตอร์มีเสาอากาศหลาย
ต้นเพื่อส่งสัญญาณพร้อมกันหลายคลื่น และเครื่องรับก็รับพร้อมกันหลายคลื่น ให้ส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น
ซึ่งเราก็จะเห็นเลขอย่าง 1×1, 2×2 หรือ 3×3 อยู่ในสเปกของอุปกรณ์ที่รับคลื่น เช่นเราใช้เราเตอร์ที่
รองรับการส่งสัญญาณ 2 สตรีม และใช้อุปกรณ์ที่รองรับ 2×2 ด้วย ความเร็วที่ได้ก็จะสูงสุดตามที่เราเตอร์ทำได้แต่ส่วนใหญ่พวกสมาร์ทโฟนก็จะเป็นแบบ 1×1 ทั้งนั้นเพราะมีพื้นที่ในเครื่องน้อย)แต่เทคโนโลยีที่เราใช้ตลอดเรียกว่า SU-MIMO หรือ single-user multiple-input and multiple-output คือในช่วงเวลาหนึ่งตัวเราเตอร์จะสามารถรับ-ส่งข้อมูลกับอุปกรณ์ได้แค่ 1 ตัวเท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อมีการเชื่อมต่อ
อุปกรณ์หลายๆ ตัว เราเตอร์ก็จะส่งสัญญาณสลับไปสลับมาอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ใช่ส่งพร้อมกันทุกๆ อุปกรณ์ ทำให้เมื่อมีอุปกรณ์มาก เราเตอร์หมุนไปคุยกับทุกคนไม่ทัน ก็ทำให้เกิดอาการเน็ตสะดุดขึ้น

MU-MIMO มีข้อดีข้อด้อยอย่างไร

MU-MIMO หรือ multi-user multiple-input and multiple-output นั้นแก้ไขข้อจำกัดของเทคโนโลยีเดิมคือเราเตอร์ 1 ตัวสามารถรับส่งข้อมูลกับหลายๆ อุปกรณ์พร้อมกัน ซึ่งนอกจากจะทำให้รับส่งข้อมูลได้เร็วขึ้นแล้ว ยังทำให้เราเตอร์สามารถรองรับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อได้มากกว่าเดิมด้วย เหมือนมีเราเตอร์หลายตัวในเครื่องเดียว แต่ข้อจำกัดของ MU-MIMO ก็อยู่ที่นอกจากตัว Router จะต้องรองรับมาตรฐานนี้แล้ว อุปกรณ์ที่ใช้งานก็ต้องรองรับมาตรฐานนี้ด้วยเช่นกัน ถ้าหากเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนในตอนนี้ที่ยังไม่มีตัวไหนรองรับ MU-MIMO การทำงานก็จะเป็น SU-MIMO ตามปกติ ซึ่งปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่รองรับมาตรฐานใหม่นี้น้อยมาก 
เทคโนโลยีในการเพิ่มขีดจำกัดของเน็ตเวิร์คให้สามารถรับ-ส่งสัญญาณให้มีความเร็วและเสถียรภาพ
มากขึ้น โดย CARRIER AGGREGATION เป็นเรื่องที่ต้องนำมาคิดเพิ่ม FREQUENCY BANDWIDTH ว่าเราจะไม่สามารถนำเอาความถี่ของแต่ละ CARRIER มาคิดรวมต่อกันตรงๆได้  CARRIER AGGREGATION เป็นเทคโนโลยีที่จะสามารถทำให้เราสามารถเกี่ยวสัญญาณมาใช้พร้อมๆกันได้มากกว่า 1 CARRIER โดยในปัจจุบันสมาร์ทโฟนที่วางขายอยู่นั้นสามารถรองรับได้พร้อมกันสูงสุด 3 CARRIER หรือที่เรียกกันว่า 3CA นั่นเอง (2CA ก็คือรับอยู่ที่ 2 CARRIER) แต่เราจะใช้งานได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นกับเครือข่ายที่เราใช้งานว่ารองรับเทคโนโลยีนี้หรือเปล่าด้วย
ผู้ใช้งานก็ควรจะหาความรู้เพิ่มเติมในการเลือกใช้อุปกรณ์รวมถึงเทคโนโลยีให้ทันสมัยและคุ้มกับค่าใช้จ่ายในอนาคตด้วย

ref ; beartai.com/droidsans.com