วันพุธที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2560

IC3 Digital Literacy Certification

IC3 Cer

IC3 Digital Literacy Certification คือ ประกาศนียบัตรรับรองความรู้ ความสามารถ ในการใช้คอมพิวเตอร์พื้นฐาน ประกอบด้วย ด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์, ด้านโปรแกรมสำนักงานสำเร็จรูป และด้านเครือข่าย กับอินเทอร์เน็ตพื้นฐาน ซึ่งเป็นทักษะที่มีความจำเป็น และเป็นพื้นฐานของเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน ประกาศนียบัตร IC3 ได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือ และเป็นประกาศนียบัตรพื้นฐานสู่การสอบใบประกาศนียบัตรเฉพาะด้านในระดับสูงต่อไป

ประโยชน์ของ IC3 Certificate
สถาบันการศึกษา - เพื่อก้าวเข้าสู่ระบบการศึกษาที่มีมาตรฐานสากลมากขึ้น / เพื่อยกระดับคุณภาพ การเรียน การสอน ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ
คณะอาจารย์ - เพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีการศึกษาแบบสมัยใหม่ / ช่วยลดขั้นตอนการเรียน การสอน
ในขณะที่ผลการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

นักเรียน, นิสิต, นักศึกษา - เพื่อให้เยาวชนได้รับความรู้ที่อัพเดท และก้าวทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา / เพื่อช่วยฝึกฝนการใช้ทักษะคอมพิวเตอร์แก่เยาวชนด้วยเครื่องมือทีเป็น
มาตรฐานเทียบเท่านานาประเทศ / เพื่อสร้างความแตกต่าง และความสามารถที่โดดเด่นต่างจากผู้อื่นหน่วยงาน/องค์กร - เพื่อช่วยพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ และทักษะทางด้านคอมพิวเตอร์มากขึ้น / เพื่อช่วยลดเวลาในการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตผลงานให้ดียิ่งขึ้น

data by www.arit.co.th

วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ไบโอเมทริกซ์ (ฺBiometric)

      คำว่าไบโอเมตริก(Biometric)ประกอบขึ้นจากคำว่าไบโอ(Bio)ซึ่งหมายถึงสิ่งมีชีวิตและคำว่าเมตริก(metrics) ซึ่งหมายถึงคุณลักษณะที่สามารถถูกวัดค่าหรือประเมินจำนวนได้เมื่อนำความหมาย
ของทั้ง 2 คำมารวมกันไบโอเมตริกก็เลยหมายถึงเทคโนโลยีในการใช้คุณลักษณะหรือพฤติกรรมบางอย่างในสิ่งมีชีวิตซึ่งเป็นคุณลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ และสามารถเทียบวัดหรือนับจำนวนได้มา
ผนวกเข้ากับหลักการทางสถิติเพื่อการแยกแยะหรือจดจำแต่ละบุคค

ไบโอแมทริกซ์ (biometrics) คือ วิธีการใช้ข้อมูลทางชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะเฉพาะทางกายภาพหรือพฤติกรรม มาใช้ในการตรวจสิทธิหรือแสดงตน เช่น ลายนิ้วมือฝ่ามือ เสียง ม่านตา เรตินา ใบหน้า ดีเอ็นเอ ลายเซ็น เทคโนโลยีดังกล่าวมีให้เห็นกันเช่น ในภาพยนต์แนว ไซ-ไฟ จนปัจจุบันได้นำมาใช้งานจริงกันแล้ว

การใช้งานเทคโนโลยีไบโอเมตริก   มีอยู่ 2 ลักษณะ ได้แก่
     1. การระบุตัวผู้ใช้ (Identification) หรือการจับคู่เปรียบเทียบแบบหนึ่งต่อจำนวน มากกว่า (1:N) โดยการนำตัวอย่างๆ หนึ่งไป เปรียบเทียบกับข้อมูลที่รวบรวมไว้ โดยการระบุตัว ผู้ใช้นั้น ผู้ใช้จะต้องส่งข้อมูลทางไบโอเมตริก ของตนเอง เช่น จากการวางนิ้วมือลงยังเครื่องอ่าน ล ายนิ้ วมือ ก า รถ่ ายภ าพใบหน้ า ให้กับ ร ะบ บเสียก่อน หลังจากนั้น ระบบจะทำการจับคู่ข้อมูล ที่ได้รับมากับข้อมูลทั้งหมดในฐานข้อมูล เพื่อระบุว่า ผู้ที่ส่งข้อมูลมาเป็นใคร แน่นอนกระบวนการที่ ว่านี้จะค่อนข้างใช้เวลานาน เพราะระบบต้องมีการ เปรียบเทียบข้อมูลเป็นจำนวนมากนั่นเอง
      2. การตรวจพิสูจน์ตัวผู้ใช้ (Verification) หรือการจับคู่เปรียบเทียบแบบหนึ่งต่อหนึ่ง (1:1) โดยระบบจะตรวจสอบตัวอย่าง ๆ หนึ่งว่าตรงกันกับ ข้อมูลที่ได้ถูกเก็บไว้ก่อนหน้าหรือไม่ โดยผู้ใช้จะ ต้องการป้อนรหัสประจำตัวหรือ PIN (Personal Identification Number) ที่ระบุถึงตัวผู้ใช้เองก่อน แล้วจึงค่อยส่งข้อมูลทางไบโอเมตริกของตนเองให้ กับระบบ หลังจากนั้นระบบจะตรวจดูว่าข้อมูล ที่ได้ รับมาตรงกับข้อมูลที่ได้ถูกบันทึกไว้ก่อนหน้านี้หรือ ไม่ โดยจะเป็นการตรวจสอบ แบบข้อมูลแบบหนึ่ง ต่อหนึ่ง กระบวนที่ใช้โดยทั่วไปจึงกินเวลาไม่มาก เพราะข้อมูลที่ต้องเปรียบเทียบไม่มาก เหมือนอย่าง กรณีของกระบวนการระบุตัวผู้ใช้ ความแม่นยำของ ระบบไบโอเมตริกสามารถจะถูกเทียบวัดจากค่า FRR (False Rejection Rate) ซึ่งหมายถึง ค่าอัตราการหลุดรอดของผู้แปลกปลอมจากการ ตรวจจับ และค่า FAR (False Acceptance Rate) ซึ่งหมายถึง ค่าอัตราการปฏิเสธการผ่านแก่ผู้ใช้ที่ถูก ต้อง โดยทั่วไปค่า FRR จะมีค่าอยู่ที่ประมาณ 0.1% ส่วนค่า FAR นั้นจะมีค่าอยู่ที่ ประมาณ 0.001% ทั้งนี้ค่า FRR และ FAR เป็นค่าที่ค้านซึ่ง กันและกันอยู่ เพราะเมื่อ FAR มีค่าสูง FRR ก็จะมี ค่าต่ำไปโดยอัตโนมัติ ในระบบรักษาความปลอดภัย ด้วยไบโอเมตริก ค่า FRR และ FAR จะเป็นค่าที่ สามารถถูกปรับตั้งได้ ตามความต้องการของผู้ติด ตั้งระบบ ว่าต้องการให้มีระดับความปลอดภัยอยู่ มากน้อยเพียงใด

 ขั้นตอนของเทคโนโลยีไบโอเมตริก
     1. เก็บตัวอย่างคุณลักษณะที่ต้องการวัด เช่น สแกนลายนิ้วมือออกมาเป็นภาพถ่ายลายนิ้วมือ
     2. เก็บข้อมูลไบโอเมตริกจากตัวอย่าง ที่สแกนได้ จะเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากภาพถ่าย ลายนิ้วมือ                ด้วยการคำนวณโดยใช้อัลกอริทึ่มเฉพาะ 
     3. เปรียบเทียบข้อมูลเชิงปริมาณที่วัดได้จาก ข้อสอง กับข้อมูลที่ได้บันทึกเอาไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจ              บันทึกไว้ในฐานข้อมูลกลาง หรือบันทึกไว้บน สมาร์ทการ์ด
     4. พิจารณาผลการเปรียบเทียบว่า ถูกต้อง ตรงกันหรือไม่
     5. ตัดสินว่าบุคคลนี้เป็นใคร (Identification) หรือเป็นตัวจริงตามที่กล่าวอ้าง (Verification) หรือไม

การนำเทคโนโลยีไบโอเมตริกมาใช
เทคโนโลยีไบโอเมตริก เป็นการเพิ่มความ ปลอดภัยให้กับองค์กรหรือแม้แต่ระดับประเทศเอง เนื่องจากสามารถป้องกันบุคคลที่น่าสงสัย หรือผู้ไม่ ประสงค์ดีเข้ามาก่อกวนได้ ดังนั้นในปัจจุบันจึงเริ่มมี การนำเทคโนโลยีทางด้านนี้ไปใช้กันอย่างแพร่หลาย ในงานหลาย ๆ ด้าน เช่น

               - งานทางด้านกฎหมาย (Law enforcement)
               - องค์กรหรือหน่วยงาน (Government)
               - ทางการทหาร (Military)
               - ระบบความปลอดภัยของระบบเน็ตเวิร์ค Network Security )
               - ธุรกิจต่าง ๆ,
               - งานทางด้านธนาคาร (Banks)
               - ความปลอดภัยสำหรับบุคคล ( Individual )

จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีไบโอ เมตริกเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการตรวจสอบความ ถูกต้องของบุคคลจากลักษณะทางกายภาพของ มนุษย์ ซึ่งสามารถแยกความแตกต่างมนุษย์ทุก คนในโลกได้ ดังนั้นจึงช่วยในเรื่องความปลอดภัย โดยการป้องกันการแอบอ้างสิทธิของบุคคลอื่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ทุกองค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ แต่ในการที่จะนำเทคโนโลยีไบโอเมตริกมาใช้ ควรพิจารณาถึงหลายปัจจัยหลายด้าน เช่น ด้านความคุ้มค่าที่จะลงทุนนำระบบนี้มาใช้หรือไม่ สังคมยอมรับกับระบบนี้หรือไม่ เทคโนโลยีนี้สอดคล้องกับการดำรงชีวิตในยุคนี้หรือไม่ ความจำเป็น ฯลฯ

Ref; thonburi-u.ac.th /อัศวิน รุ่งแสงเงิน: “เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์”, มกราคม 2546

วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Cloud Computing

รู้จักคลาวด์คอมพิวติ้ง  (Cloud Computing)
หากแปลความหมายของคำว่า Cloud Computing ง่ายแบบไทย “การประมวลผลบนกลุ่มเมฆ” ก็ยิ่งดูจะงงเข้าไปใหญ่ แต่น่าจะง่ายกว่าถ้าบอกว่า Cloud Computing คือการที่เราใช้ซอฟต์แวร์, ระบบ, และทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยสามารถเลือกกำลังการประมวลผล เลือกจำนวนทรัพยากร ได้ตามความต้องการในการใช้งาน และให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลบน Cloud จากที่ไหนก็ได้ ดังแผนภาพด้านล่างนี้นั่นเอง

ประเภทของบริการ คลาวด์คอมพิวติ้ง  (Cloud Service Models)

บริการ Cloud Computing มีหลากหลายรูปแบบ แต่ในที่นี้ เราขอพูดถึงรูปแบบหลักๆ 3 แบบได้แก่

Software as a Service (SaaS)

เป็นการที่ใช้หรือเช่าใช้บริการซอฟต์แวร์หรือแอพพลิเคชั่น ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยประมวลผลบนระบบของผู้ให้บริการ ทำให้ไม่ต้องลงทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์เอง ไม่ต้องพะวงเรื่องค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบ เพราะซอฟต์แวร์จะถูกเรียกใช้งานผ่าน Cloud จากที่ไหนก็ได้

Platform as a Service (PaaS)

สำหรับการพัฒนาแอพพลิเคชั่นนั้น หากเราต้องการพัฒนาเวบแอพพลิเคชั่นที่ค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งรันบนเซิร์ฟเวอร์ หรือ Mobile application ที่มีการประมวลผลทำงานอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ เราก็ต้องตั้งเซิร์ฟเวอร์ เชื่อมต่อระบบเครือข่าย และสร้างสภาพแวดล้อม เพื่อทดสอบและรันซอฟต์แวร์และแอพพลิเคชั่น เช่น ติดตั้งระบบฐานข้อมูล, Web server, Runtime, Software Library, Frameworks ต่างๆ เป็นต้น จากนั้นก็อาจยังต้องเขียนโค้ดอีกจำนวนมาก

Infrastructure as a Service (IaaS)

เป็นบริการให้ใช้โครงสร้างพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์อย่าง หน่วยประมวลผล ระบบจัดเก็บข้อมูล ระบบเครือข่าย ในรูปแบบระบบเสมือน (Virtualization) ข้อดีคือองค์กรไม่ต้องลงทุนสิ่งเหล่านี้เอง, ยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างระบบไอทีขององค์กรในทุกรูปแบบ, สามารถขยายได้ง่าย ขยายได้ทีละนิดตามความเติบโตขององค์กรก็ได้ และที่สำคัญ ลดความยุ่งยากในการดูแล เพราะหน้าที่ในการดูแล จะอยู่ที่ผู้ให้บริการ


ความสำเร็จขององค์กรที่ใช้งาน Cloud Computing

Thai Smile บริษัทสายการบินน้องใหม่ที่นำเอาคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) เข้ามาช่วยในการลดต้นทุน และช่วยย่นระยะเวลาในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ โดยทางไทยสไมล์ มองว่า บริษัทน้องใหม่ แยกตัวออกมาจากการบินไทย กว่าจะตั้งตัวได้ กว่าจะมีระบบที่สมบูรณ์ ก็ต้องใช้เวลาหลายเดือน แต่ความได้เปรียบในเชิงธุรกิจ ต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็ว ดังนั้น คลาวด์คอมพิวติ้ง  (Cloud Computing) จึงเป็นทางเลือกในการช่วยประหยัดเวลา ลดความยุ่งยากและเสียเวลากับการลงทุนอุปกรณ์เอง และสำหรับไทยสไมล์แล้ว Cloud Computing คือคำตอบที่ทำให้สามารถขยับตัวเพื่อแข่งขันในตลาดได้อย่างทันท่วงที
** data by www.it24hrs.com

วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2560

Trendsของยุค 2020 ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำ

Trends Business 

ธุรกิจหลายๆ ประเภท ต้องปรับตัวให้เหมาะสม และเข้ากับยุคสมัย เพื่อความอยู่รอดของตัวธุรกิจ นักธุรกิจ
อาจต้องหันมามองแง่มุมต่างๆ 

1. สังคมผู้สูงอายุ

ในยุค 2020 นั้น ประเทศไทยเอง ก็คงจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่โลกทั้งโลกกำลังเผชิญหน้าไม่ได้ นั่นคือสังคมผู้สูงอายุ ในอนาคตนั้นผู้สูงอายุจะมีสัดส่วนถึง 30% ของประชากรทั้งหมด
ซึ่งคนกลุ่มนี้ มีกำลังซื้อมหาศาล และจับจ่ายทุกสิ่ง ที่มองว่าทำให้เค้ามีอายุยืนยาว และได้รับความสุข สิ่งที่คนกลุ่มนี้จะใช้บริการ คงจะเป็นการไปเที่ยวพักผ่อน ตามสถานที่ท่องเที่ยว สินค้าประเภท Anti-ageing และอาหารเสริม

2. ความเป็นตัวของตัวเองของคนยุคใหม่

คน Gen Y หรือคนที่มีอายุตั้งแต่ 18-33 ปี กำลังจะเริ่มมีบทบาททดแทนคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของพวกเค้า หรือพวก Gen X กับ Baby Boomer โดยพวก Gen Y เป็นพวกใจร้อน มีความเป็นตัวเองสูง รักอิสระ มีความกบฏอยู่ในตัว ชอบความเรียบง่าย ไม่เน้นพิธีรีตอง ชอบสูตรลัด กล้าได้กล้าเสีย และอยากได้ความรวดเร็ว

3. IQ ในเรื่องการวางแผนการเงิน

คนรุ่นใหม่ ให้ความสนใจกับการวางแผนทางการเงิน เพื่อการเกษียณมากขึ้น พวกเค้ารู้จักเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น พันธบัตร หรือกองทุนรวม พวกเค้ารับความเสี่ยงได้มากกว่าคนรุ่นพ่อแม่ และคิดว่าการฝากเงินกับธนาคารไม่เร้าใจสำหรับเค้า

4. บริษัทมุ่งที่จะลดต้นทุน ทำให้คำว่า “เล็กนั้นงาม” เป็นที่แพร่หลาย

นับวันต้นทุนในการผลิตสินค้าต่างๆ ก็มีแต่สูงขึ้น จึงมีแนวโน้มที่บริษัทจะหันมาจ้างคนอื่นผลิตแทน และมามุ่งเน้นที่การประชาสัมพันธ์ การตลาด และการขาย รวมถึงการสร้าง Brand มากยิ่งขึ้น เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ สินค้า 1 ชิ้น แตกต่างจากสินค้าอื่นๆ

5. มุ่งหาความสุขทางใจ มากกว่าทางวัตถุ

คนรุ่นใหม่จะเลือกทำสิ่งที่ตัวเองรัก แล้วได้เงินน้อย แทนที่จะเลือกทำในสิ่งที่ไม่ชอบ แต่มีรายได้มหาศาล เพราะเมื่อใครบางคนได้ทำในสิ่งที่ชอบแล้ว การทำงานก็ไม่เหมือนกับการทำงานอีกต่อไป การทำงานจะเหมือนกับการเล่นสนุกมากกว่า และคนจะให้ความสำคัญกับเวลาที่ ให้กับสุขภาพร่างกายของตัวเอง และความรักความอบอุ่นในครอบครัว มากกว่าที่จะมุ่งเน้นไปที่วัตถุ จะเห็นได้จากช่วงหลังๆ ที่ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา มาแรงมาก ไม่ว่าจะมองไปที่ อันดับหนังสือขายดี การสวดมนต์ข้ามปี และการไปปฏิบัติธรรม
จากที่ได้กล่าว เพื่อตอบโจทย์ของลูกค้ากลุ่มยุคปัจจุบันจนถึงกลุ่มอนาคตรูปแบบ ธุรกิจน่าสนใจ สำหรับอนาคต ที่คนทั่วไป ก็สามารถสร้างได้ มีอยู่ 4 แนวคิดดังนี้

  1. เปลี่ยนงานอดิเรกเป็น ธุรกิจส่วนตัว
  2. ทำ ธุรกิจน่าสนใจ บน Internet
  3. ซื้อ Franchise เป็นการทำ ธุรกิจที่น่าสนใจ
  4. เป็นนักลงทุน
  5. ธุรกิจ MLM เป็นอีกหนึ่ง ธุรกิจน่าสนใจ

**data by shoplri.com/

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ตามกระแสธุรกิจระดับ World class

เน้นนวัตกรรมในร้าน มากกว่าขายออนไลน์

            แนวทางธุรกิจยุค 4.0 ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย กลับให้ความสนใจกับนวัตกรรม (innovation) ค้าปลีกที่อยู่ที่หน้าร้านเป็นอย่างมาก และมีนวัตกรรมออกมาต่อเนื่องจริงจัง ส่วนหนึ่งถือเป็นกลยุทธ์เชิง O2O (online to offline) คือ ใช้ร้านเรียกคนเข้าเว็บและใช้เว็บเรียกคนเข้าร้าน เช่น ความเชื่อมโยงระหว่าง Central Plaza และ Central.co.th หรือเทคโนโลยี Tesco iBeacon ซึ่งในเร็วๆ นี้ เราก็จะได้เห็นห้างหรูบางแห่ง นำกลยุทธ์นี้มาใช้เพื่อแก้ปัญหา คนมาห้าง มากินข้าว แต่ไม่ซื้อของ
            ขอวิเคราะห์ปัญหาใหญ่ๆ ของการปรับตัวของธุรกิจค้าปลีกไทยรายใหญ่ไปสู่ออนไลน์ ดังนี้

            1. Cannibalization ธุรกิจค้าปลีกกลัวปัญหา “กินกันเอง” กลัวว่าการขายออนไลน์ที่กำไรน้อยกว่าจะส่งผลเสีย นอกจากกำไรหดลงแล้ว ยังทำให้ช่องทางเดิม (เช่น ฝ่ายขาย หรือหน้าร้านเดิม หรือคู้ค้าหลักๆ) ไม่พอใจบริษัทที่มาขายออนไลน์แข่ง

             ปัญหากลัวกินกันเองนี้เกิดทั้งภายในและภายนอกองค์กร ทำให้การพัฒนาช่องทางออนไลน์ของทีมงานภายใน มักถูกตั้งคำถามหรือไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควรจากผู้บริหารส่วนอื่นๆ ภายในองค์กรเอง เพราะถึงเป็นองค์กรเดียวกัน แต่ก็แยกกัน “บริหารเป้า” จากผู้บริหารที่ดูแลช่องทางการขายเดิม

            2. การบริหารงานแบบ Silo การทำงานเป็นท่อนๆ ส่วนใครส่วนมัน แยกหน้าที่ชัดเจน ส่งต่อกันเป็นทอดๆ เหมือนในโรงงาน แนวทางการบริหารแบบนี้มีประสิทธิภาพสูงมากกับการขายแบบค้าปลีก เพราะทำให้ต้นทุนต่ำ แต่เมื่อเจอกับความต้องการลูกค้าที่เปลี่ยนไป และคู่แข่งหน้าใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว การทำงานแต่ละ Silo เป็นท่อนๆ กลับไม่สอดคล้องต่อยุคสมัยปัจจุบัน

            3. ระบบการขาย, ไอที, บัญชี และ คลังสินค้า มีลักษณะเดียวกับ Silo คือเป็นระบบขนาดยักษ์ที่ออกแบบให้ทำงานมีความเสถียรสูง ปริมาณมากๆ เน้นประสิทธิภาพและการประหยัดจากขนาด (economy of scale) ทำงานเยอะๆ ได้ในต้นทุนที่ต่ำมาก

            4. หาคน การหาคนที่มีประสบการณ์ ecommerce นั้นยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง นอกจากบริษัทจะต้องเจอเรื่องการดึงตัวกันในอุตสาหกรรมแล้ว ยังเจอปัญหาเรื่องการดูดคนจากบริษัทข้ามชาติใหม่ๆ ที่เป็น Tech Startup รวมถึงปัญหาคนที่มีประสบการณ์ความสามารถสูง ก็ออกไปเปิดบริษัท Tech Startup ของตัวเอง ทำให้คนที่เชี่ยวชาญด้านนี้ ยิ่งหายากขึ้นไปอีก

แนวทางนโยบายในการทำธุรกิจค้าปลีกออนไลน์

จากประสบการณ์ที่ได้ใกล้ชิดกับผู้บริหารค้าปลีกออนไลน์ทุกรายในประเทศไทย พบว่าทุกรายมีแนวทางการบริหารหน่วยงานค้าปลีกออนไลน์คล้ายๆ กัน ที่สามารถใช้เป็นแนวปฏิบัติสำหรับรายอื่นๆ ได้ คือ

1. Direct Report to CEO ตั้งหน่วยงานออนไลน์ที่ใกล้ชิดกับผู้นำขององค์กร เพราะการปั้นธุรกิจออนไลน์ไม่ใช่การ “สร้างช่องทางการขายใหม่” แต่เป็นการ “รวมช่องทางการขายเดิม” เพื่อไล่ให้ทันลูกค้าและคู่แข่งที่เปลี่ยนไป

2.บริหารเป็นเอกเทศ หน่วยงานออนไลน์ควรบริหารด้วยความเป็นเอกเทศ เพราะเหตุผลคือจำเป็นต้องรวมจุดแข็งของทุกส่วน เพราะไม่ใช่การแข่งขันของ “ช่องทาง”​แต่เป็นการแข่งขัน “ทั้งธุรกิจ”

3.อย่าวัดแต่ยอดขายอย่างเดียว เพราะจะเกิดแรงต้านจากช่องทางเดิมและเกิดการแย่งยอดขายกัน แต่ต้องตั้งเป้ายอดขายเป็น KPI ร่วมกัน ทั้งจากช่องทางเดิมและช่องทางออนไลน์ นั่นคือ ช่องทางเดิมได้เป้า ได้คอมมิสชั่น ช่องทางออนไลน์ได้งบประมาณ ได้ปรับเงินเดือน

4.รักษาคนออนไลน์ไว้ และให้พนักงานรุ่นใหม่ๆ เรียนรู้ความรู้จากคนออนไลน์พวกนี้ เพราะจำเป็นต้องปั้นคนออฟไลน์ให้เป็นออนไลน์ เพราะการหาคนออนไลน์เองนั้นว่ายากแล้ว การรักษาให้เขาอยู่กับบริษัท ในสภาวะคนแย่งตัวกันนั้นยากยิ่งกว่า


**ข่าวสารจาก Brand Inside

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2560

DIGITAL TRANSFORMATION 2017

DIGITAL TRANSFORMATION

           Digital Transformation ก็คือการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีที่ทันสมัยกว่า สะดวก รวดเร็ว 
โดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวผลักดัน เช่น อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง โทรศัพท์เคลื่อนที่ 4G เป็นต้น
        การเข้ามาของเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจและอุตสาหกรรมอย่างมาก
เกิดธุรกิจใหม่ๆมากมายเช่น AIRBNB, UBER หรือ AGODA การเข้ามาของธุรกิจเหล่านี้ทำให้มี
ผลกระทบต่อธุรกิจเดิมๆที่เคยทำอาทิเช่น EBOOK มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจสิ่งพิมพ์ 
หรือ STREAMING CONTENT อย่าง NETFLIX, HOLLYWOOD HD ก็มีผลกระทบต่อธุรกิจด้านทีวี
ในบ้านเรา องค์กรต่างๆก็เริ่มที่จะต้องปรับตัวเองมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้มากขึ้น 
ทั้งในการบริหารงาน การบริการลูกค้า หรือสร้างนวัตกรรมใหม่ๆเรื่องของ DIGITAL TRANSFORMATION  
ภาพรวมใหญ่ในปี 2017 

        ฉนั้นผู้ที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยอาศัยช่องทาง digital คงต้องหันกลับมา
เพิ่ม Costs all the way ของธุรกิจตนเองให้มากเพื่อช่วงชิงลูกค้าเพื่อให้ brand loyality
(ความซื่อสัตย์ต่อแบรนด์)


ที่มาข้อมูล https://thanachart.org/2016/10/24/แนวโน้มเทคโนโลยีไอที-2017
                        http://www.merlinssolutions.com/?p=14924

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Fourth Industrial Revolution

เปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0

1. เรียนรู้ภาษาต่างประเทศให้ดี
เป็นข้อกำหนดข้อแรกเลยครับสำหรับการเตรียมตัวรับกับสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังจะมาในอนาคตอย่างรวดเร็ว
นี้ การมีความรู้ภาษาต่างประเทศนั้นจะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงเนื้อหาจากประเทศต่างๆ ที่พัฒนาเทคโนโลยีก้าวล้ำไปแล้วยิ่งกว่าเราได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องรอให้ใครมาแปลหรือสรุปให้เราอ่าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเนื้อหาที่มีความเฉพาะทางสูงเช่น กรณีศึกษาการนำ AI ไปใช้ใน
อุตสาหกรรมหรือการผลิตบางอย่าง, การค้นพบสิ่งใหม่ๆ และอื่นๆ อีกมากมาย

สำหรับภาษาที่แนะนำในตอนนี้ก็หนีไม่พ้นภาษาอังกฤษแน่ๆ ภาษาหนึ่ง ส่วนจีนเองนั้น

2. เริ่มศึกษาเทคโนโลยีที่ใช้ในการทำงานให้มากขึ้น
หลังจากนี้เทคโนโลยีจะยิ่งเข้ามามีบทบาทในชีวิตและการทำงานของเรามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน และถ้าหากเวลานี้คุณยังใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในการทำงานได้ไม่คล่องล่ะก็การฝึกให้คุ้นเคยกับเทคโนโลยีใกล้ตัวให้มากขึ้นก่อนก็ถือเป็นก้าวแรกที่ควรทำนอกจากนั้นการฝึกมุมมองในการหาเทคโนโลยีที่ดีขึ้นเพื่อนำมาปรับใช้กับงานที่ทำอยู่ประจำเรื่อยๆ นั้นก็เป็นก้าวถัดไปที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการหา Software มาปรับใช้กับการทำงานที่มีอยู่เดิมให้ดีขึ้น งานพื้่นฐานเหล่านี้ดูนั้นอาจทำให้พนักงานแต่ละคนในองค์กรสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้นโดยแทบไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มเลยด้วยซ้ำ และในมุมของตัวเราเองหรือพนักงานในองค์กร การได้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องก็จะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานอย่างแน่นอนไม่ว่าจะยังคงทำงานที่เดิมหรือย้ายไปทำงานที่ใหม่ก็ตาม

3. เริ่มศึกษาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่ธุรกิจของตนทำอยู่ให้มากขึ้น
การติดตามข่าวสารหรือค้นหาใน Google ดูว่าในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเดียวกันนี้เริ่มมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ อะไรมาใช้ในการทำงานบ้างแล้วก็ถือเป็นเรื่องที่ควรทำ เพราะในบางอุตสาหกรรมอาจมีการนำ AI มาเริ่มใช้งาน, บางอุตสาหกรรมนำข้อดีของระบบ Cloud มาใช้ในการประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มขยายสาขาขององค์กรอย่างรวดเร็ว, บางธุรกิจเริ่มใช้หุ่นยนต์ในสายการผลิตหรือแม้แต่ออกมาให้บริการลูกค้า, บางธุรกิจเริ่มมีการนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์สร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ หรือบางธุรกิจอาจค้นพบเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะช่วยลดต้นทุนหรือสร้างโอกาสใหม่ๆ ได้ ซึ่งแต่ละธุรกิจก็มีรูปแบบการนำเทคโนโลยีมาใช้ที่แตกต่างกันไป การติดตามข่าวสารพวกนี้จะทำให้เรามองเห็นภาพรวมในการทำงานและในอุตสาหกรรมที่มากขึ้น และทำให้เรามองในภาพรวมและระยะยาวได้ดีขึ้น รวมถึงยังให้เราสามารถวางแผนได้ว่าควรจะศึกษาเทคโนโลยีอะไรต่อไปบ้างได้อีกด้วย


4. หัดทำการวิเคราะห์ข้อมูลบ้าง
มีการทำนายกันว่าต่อไปการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นจะกลายเป็นงานของทุกๆ คนในองค์กร โดยภาคธุรกิจต่างๆ นั้นจะทำการรวบรวมข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์กรเอาไว้เป็น Big Data Storage เพื่อให้พนักงานภายในองค์กรแต่ละแผนกนั้นสามารถเข้าถึงข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของตน และทำการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นได้ด้วยตัวเอง แนวโน้มนี้ค่อยๆ เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว และในไทยเองก็ควรจะเริ่มมีการเตรียมตัวกันเบื้องต้นด้วยการฝึกแนวคิดในการวิเคราะห์ข้อมูลกันเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ การฝึกวิเคราะห์ข้อมูลนั้นไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจากอะไรที่ซับซ้อนหรือข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ก็ได้ แค่ข้อมูลที่เราได้พบหรือได้สัมผัสในแต่ละวันนั้นก็สามารถนำมาวิเคราะห์และสร้างประโยชน์ต่างๆ ให้มากขึ้นได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเก็บสถิติงานต่างๆ ของสิ่งที่ทำในแต่ละวันมาลองวิเคราะห์ดูว่าควรจะปรับปรุงการทำงานอย่างไร, การดึงสถิติผู้เข้าชมจาก Facebook Fan Page หรือ Google Analytics มาใช้วิเคราะห์ว่าควรจะทำอย่างไรให้ผู้ชมมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น, การนำข้อมูลยอดขายของเซลส์มาใช้วิเคราะห์ว่าเดือนไหนควรทำงาน ควรหยุดงาน หรือควรจัดงานสัมมนา และอื่นๆ อีกมากมายตามแต่ว่าใครจะได้ทำงานเกี่ยวกับข้อมูลอะไร
          สำหรับเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นก็อาจเป็นเครื่องมือใกล้ตัวที่สุดอย่าง Microsoft Excel ที่จริงๆ แล้วก็มีความสามารถต่างๆ อยู่มากเพียงพอสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดเล็กเบื้องต้นอยู่แล้ว และก็เป็นเครื่องมือที่เชื่อว่าทุกๆ คนคงมีติดเครื่องเอาไว้ แต่น้อยคนนักที่จะใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
           ประเด็นสำคัญคือ “การหัดวิเคราะห์ข้อมูล” นั้นคือสิ่งที่เราทุกคนควรจะต้องฝึกฝนอยู่เสมอ ให้กระบวนการการคิดมีความเป็นวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มากขึ้น ในขณะที่การหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลกับธุรกิจให้ได้นั้นก็จะเป็นอีกความสามารถที่สำคัญในอนาคต

5. ทำความเข้าใจกับการเขียนโปรแกรมเบื้องต้น
ต่อไปนั้นการเขียนโปรแกรมจะได้เข้าไปมีบทบาทในส่วนหนึ่งของงานทุกคนอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าแต่ละคนนั้นก็อาจต้องเขียนโปรแกรมในระดับที่มีความซับซ้อนต่างกันไม่มากก็น้อยตามแต่เนื้องาน บางงานการเขียนโปรแกรมแค่ 2-3 บรรทัดก็สามารถลดงานที่ต้องทำซ้ำๆ เป็นประจำให้ง่ายลงได้กว่าเดิม บางงานอาจต้องเขียนโปรแกรมซับซ้อนกว่านั้น โดยนอกจากการเขียนโปรแกรมจะเป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว การทำความเข้าใจกับพื้นฐานของการเขียนโปรแกรมนั้น ก็จะทำให้เราเห็นภาพของการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ได้หลากหลายมากยิ่งขึ้นไปด้วยในตัว
การทำความเข้าใจกับการเขียนโปรแกรมเบื้องต้นนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่
การทำความเข้าใจกับแนวคิด Computational Thinking เพื่อให้เข้าใจก่อนว่าระบบ Computer ต่างๆ ในทุกวันนี้มีวิธีการทำงานและการประมวลผลอย่างไร เพื่อเป็นพื้นฐานต่อยอดในการศึกษาภาษาต่างๆ ในการเขียนโปรแกรมในอนาคตเองได้
        การทดลองหัดเขียนโปรแกรมด้วยภาษาต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพการทำงานจริง และใช้เป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อยอดทางด้านนี้ด้วยตัวเองได้ในอนาคต
        คนที่เขียนโปรแกรมเพื่อให้ทำงานทดแทนตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและประหยัดเวลาได้นั้น เมื่อเทียบกับคนที่เขียนโปรแกรมไม่ได้ ประสิทธิภาพในการทำงานจะต่างกันหลายเท่าเลยทีเดียว

6. หัดรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์ IT ที่ตนเองใช้งานอยู่ให้เป็น
เป็นอีกประเด็นสำคัญที่ทุกๆ คนในวันนี้ควรจะทำกันให้เป็น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใจพื้นฐานเบื้องต้นว่าอะไรคือ Virus, อะไรคือ Malware, อะไรคือ Ransomware และการโจมตีหรือการ Hack ต่างๆ นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรในมุมกว้าง รวมถึงการปกป้องตัวเองให้ปลอดภัยจากสิ่งเหล่านี้ให้ได้มากที่สุดนั้นควรทำอย่างไร ทั้งในเชิงพฤติกรรมและการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะการโจมตีในทุกวันนี้นั้นมีความรุนแรงสูงยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมาก งานหรือข้อมูลอันทรงคุณค่าขององค์กรอาจถูกขโมยหรือถูกทำลายได้ในชั่วพริบตาหากมีความปลอดภัยที่ไม่เพียงพอ (เคยมีบริษัทที่ถูกขโมยข้อมูลจนต้องล้มละลายมาแล้ววในอดีต) และเหล่าคนทำงานภายในองค์กรอย่างเราๆ นี่เองที่เป็นช่องที่เหล่า Hacker ใช้ในการโจมตีมากที่สุดกันในปัจจุบัน
การรู้จักแนวคิดเบื้องต้นและป้องกันตัวเองจากการโจมตีเหล่านี้ได้นั้น นอกจากจะส่งผลดีต่อการทำงานแล้ว ยังจะส่งผลดีต่อการใช้ชีวิตส่วนตัวอีกด้วย เพราะสุดท้ายแล้ว IT นั้นก็ได้กลายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา เราเริ่มสั่งซื้อสินค้าออนไลน์, จ่ายเงินค่าบริการต่างๆ ผ่าน Smartphone และเก็บข้อมูลสำคัญของเราเอาไว้ในอุปกรณ์เหล่านี้ การปกป้องข้อมูลสำคัญเหล่านี้เอาไว้ให้ได้นั้นก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการใช้ชีวิตประจำวันลงไปไม่มากก็น้อย
สิ่งหนึ่งที่ทุกคนควรเริ่มหัดทำกันตั้งแต่เนิ่นๆ เลยก็คือ การหัด Update และ Patch อุปกรณ์และ Software ที่ใช้งานในชีวิตประจำวันให้มีความปลอดภัยสูงสุด ไม่ว่าจะเป็น Smartphone, Tablet, Router, CCTV Camera และอื่นๆ อีกมากมาย ใครที่ทำไม่เป็นก็ลองให้ผู้เชี่ยวชาญ IT ที่รู้จักช่วยสอนทำเป็นก้าวแรกให้ดูก่อนก็ได้ และต้องทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างเป็นประจำให้ติดเป็นนิสัย เพื่อให้ชีวิตของเรามีความมั่นคงปลอดภัยอยู่ตลอดนั่นเอง

7. ดูแนวโน้มว่าในอุตสาหกรรมหรืองานที่ทำอยู่นั้น AI จะเข้ามามีบทบาทอย่างไร
การศึกษาดูว่าในอุตสาหกรรมของเราและใกล้เคียงนั้นเริ่มมีการนำ AI มาใช้ทำอะไรกันบ้างนั้น จะช่วยให้องค์กรสามารถวางกลยุทธ์หรือทดสอบเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ดีขึ้น และนำ AI มาใช้ในส่วนที่มีความสำคัญสูงสำหรับธุรกิจองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงอาจได้แนวคิดในการนำ AI มาสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ได้อีกด้วย

8. ดูแนวโน้มว่าในอุตสาหกรรมหรืองานที่ทำอยู่นั้น IoT จะเข้ามามีบทบาทอย่างไร
เช่นเดียวกับ AI ที่จะมาเปลี่ยนโฉมการทำธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิง Internet of Things (IoT) เองนี้ก็จะมีบทบาทมากไม่แพ้กับ AI ในอนาคต โดยการเพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อและรับส่งข้อมูลหรือประมวลผลให้กับอุปกรณ์, สถานที่, สินค้า, บริการ และกระบวนการต่างๆ นั้นจะช่วยให้องค์กรมีข้อมูลในการตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น, เปลี่ยนการทำงานบางอย่างให้กลายเป็นอัตโนมัติได้มากขึ้นและใช้คนน้อยลง, สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมหรือแนวคิดใหม่ๆ ทั้งในเชิงผลิตภัณฑ์ บริการ และการเงินได้ดีขึ้น และอื่นๆ อีกมากมาย

9. ดูแนวโน้มว่าในอุตสาหกรรมหรืองานที่ทำอยู่นั้น หุ่นยนต์จะเข้ามามีบทบาทอย่างไร
หลายๆ คนยังมีความสับสนระหว่าง AI และหุ่นยนต์กันอยู่บ้าง และชอบอ้างอิงถึงภาพยนตร์ซีรีส์ Terminator ทุกครั้งที่มีข่าวว่าเทคโนโลยีสองด้านนี้ถูกพัฒนาและกลัวว่ามันจะยึดครองโลก ในความเป็นจริงนั้นหลายๆ ธุรกิจได้เริ่มนำสองเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานกันมากขึ้นเรื่อยๆ และสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในแง่ของแรงงาน, การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในการผลิตได้อย่างรวดเร็ว, ความทนทานในการทำงาน และความคุ้มค่าในระยะยาว เรียกได้ว่าในอนาคตเมื่อเปรียบเทียบธุรกิจที่ใช้หุ่นยนต์กับธุรกิจที่ไม่ใช้หุ่นยนต์นั้น ก็จะสามารถเทียบเคียงในอดีตกับธุรกิจที่ใช้เครื่องจักรกับใช้แรงงานคนได้เลยทีเดียวก็เป็นได้

10. ค้นหาว่าปัจจุบันมีบริการ Cloud อะไรที่เกี่ยวข้องกับงานที่ตนทำบ้าง และทดลองใช้งานดู
ทุกวันนี้บริการ Cloud นั้นมีให้เลือกใช้งานกันได้อย่างหลากหลายและแทบจะครอบคลุมในทุกๆ สายงานในปัจจุบันแล้ว การเปิดหูเปิดตาดูว่าในปัจจุบันมีบริการ Cloud อะไรที่เกี่ยวข้องกับสายงานของเราหรือสามารถนำมาใช้ปรับปรุงการทำงานของเราได้บ้างก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะการทดลองหรือทดสอบการใช้งานบริการ Cloud นั้นมักจะทำได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว รวมถึงหากทดลองใช้งานแล้วมีประโยชน์จริง ก็สามารถเช่าใช้บริการนี้ได้อย่างง่ายดายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับตัวเราเองและพนักงานคนอื่นๆ ในองค์กรได้

11. ออกไปพูดคุยกับผู้คนสาย IT และธุรกิจรอบตัวให้มากขึ้น
ไม่เพียงแต่การติดตามข่าวสาระและทำการค้นคว้าหรือเรียนรู้ส่วนตัวเพิ่มเติม การออกไปพูดคุยกับคนสาย IT และธุรกิจหรือออกไปทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ นั้นก็จะทำให้มุมมองของเรากว้างขึ้นด้วยเช่นกัน และจะทำให้เราประเมินความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้งานได้แม่นยำมากขึ้น อีกทั้งหากในอนาคตต้องมีการเปิดธุรกิจใหม่ๆ หรือสร้างทีมงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นนั้น ความต้องการในเหล่าคน IT ที่มีความรู้ความสามารถ หรือคนสายธุรกิจที่เข้าใจด้านเทคโนโลยีเป็นอย่างดีก็จะเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน

12. วางแผนชีวิตตัวเองและองค์กรที่ทำงานอยู่ เตรียมตัวเองและพนักงานในองค์กรให้พร้อม
เมื่อมีข้อมูลพร้อม, ความสามารถพร้อม และ Connection พร้อมแล้ว การวางแผนสำหรับตัวเอง หรือวางกลยุทธ์สำหรับองค์กรก็จะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกลงทุนหรือใช้เวลาไปกับการพัฒนาความสามารถหรือเทคโนโลยีอะไรก่อน หรือจะเลือกทำอะไรด้วยเทคโนโลยีไหนนั่นเอง

by TechTalkThai.com