วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Fourth Industrial Revolution

เปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0

1. เรียนรู้ภาษาต่างประเทศให้ดี
เป็นข้อกำหนดข้อแรกเลยครับสำหรับการเตรียมตัวรับกับสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังจะมาในอนาคตอย่างรวดเร็ว
นี้ การมีความรู้ภาษาต่างประเทศนั้นจะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงเนื้อหาจากประเทศต่างๆ ที่พัฒนาเทคโนโลยีก้าวล้ำไปแล้วยิ่งกว่าเราได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องรอให้ใครมาแปลหรือสรุปให้เราอ่าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเนื้อหาที่มีความเฉพาะทางสูงเช่น กรณีศึกษาการนำ AI ไปใช้ใน
อุตสาหกรรมหรือการผลิตบางอย่าง, การค้นพบสิ่งใหม่ๆ และอื่นๆ อีกมากมาย

สำหรับภาษาที่แนะนำในตอนนี้ก็หนีไม่พ้นภาษาอังกฤษแน่ๆ ภาษาหนึ่ง ส่วนจีนเองนั้น

2. เริ่มศึกษาเทคโนโลยีที่ใช้ในการทำงานให้มากขึ้น
หลังจากนี้เทคโนโลยีจะยิ่งเข้ามามีบทบาทในชีวิตและการทำงานของเรามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน และถ้าหากเวลานี้คุณยังใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในการทำงานได้ไม่คล่องล่ะก็การฝึกให้คุ้นเคยกับเทคโนโลยีใกล้ตัวให้มากขึ้นก่อนก็ถือเป็นก้าวแรกที่ควรทำนอกจากนั้นการฝึกมุมมองในการหาเทคโนโลยีที่ดีขึ้นเพื่อนำมาปรับใช้กับงานที่ทำอยู่ประจำเรื่อยๆ นั้นก็เป็นก้าวถัดไปที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการหา Software มาปรับใช้กับการทำงานที่มีอยู่เดิมให้ดีขึ้น งานพื้่นฐานเหล่านี้ดูนั้นอาจทำให้พนักงานแต่ละคนในองค์กรสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้นโดยแทบไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มเลยด้วยซ้ำ และในมุมของตัวเราเองหรือพนักงานในองค์กร การได้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องก็จะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานอย่างแน่นอนไม่ว่าจะยังคงทำงานที่เดิมหรือย้ายไปทำงานที่ใหม่ก็ตาม

3. เริ่มศึกษาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่ธุรกิจของตนทำอยู่ให้มากขึ้น
การติดตามข่าวสารหรือค้นหาใน Google ดูว่าในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเดียวกันนี้เริ่มมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ อะไรมาใช้ในการทำงานบ้างแล้วก็ถือเป็นเรื่องที่ควรทำ เพราะในบางอุตสาหกรรมอาจมีการนำ AI มาเริ่มใช้งาน, บางอุตสาหกรรมนำข้อดีของระบบ Cloud มาใช้ในการประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มขยายสาขาขององค์กรอย่างรวดเร็ว, บางธุรกิจเริ่มใช้หุ่นยนต์ในสายการผลิตหรือแม้แต่ออกมาให้บริการลูกค้า, บางธุรกิจเริ่มมีการนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์สร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ หรือบางธุรกิจอาจค้นพบเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะช่วยลดต้นทุนหรือสร้างโอกาสใหม่ๆ ได้ ซึ่งแต่ละธุรกิจก็มีรูปแบบการนำเทคโนโลยีมาใช้ที่แตกต่างกันไป การติดตามข่าวสารพวกนี้จะทำให้เรามองเห็นภาพรวมในการทำงานและในอุตสาหกรรมที่มากขึ้น และทำให้เรามองในภาพรวมและระยะยาวได้ดีขึ้น รวมถึงยังให้เราสามารถวางแผนได้ว่าควรจะศึกษาเทคโนโลยีอะไรต่อไปบ้างได้อีกด้วย


4. หัดทำการวิเคราะห์ข้อมูลบ้าง
มีการทำนายกันว่าต่อไปการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นจะกลายเป็นงานของทุกๆ คนในองค์กร โดยภาคธุรกิจต่างๆ นั้นจะทำการรวบรวมข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์กรเอาไว้เป็น Big Data Storage เพื่อให้พนักงานภายในองค์กรแต่ละแผนกนั้นสามารถเข้าถึงข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของตน และทำการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นได้ด้วยตัวเอง แนวโน้มนี้ค่อยๆ เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว และในไทยเองก็ควรจะเริ่มมีการเตรียมตัวกันเบื้องต้นด้วยการฝึกแนวคิดในการวิเคราะห์ข้อมูลกันเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ การฝึกวิเคราะห์ข้อมูลนั้นไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจากอะไรที่ซับซ้อนหรือข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ก็ได้ แค่ข้อมูลที่เราได้พบหรือได้สัมผัสในแต่ละวันนั้นก็สามารถนำมาวิเคราะห์และสร้างประโยชน์ต่างๆ ให้มากขึ้นได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเก็บสถิติงานต่างๆ ของสิ่งที่ทำในแต่ละวันมาลองวิเคราะห์ดูว่าควรจะปรับปรุงการทำงานอย่างไร, การดึงสถิติผู้เข้าชมจาก Facebook Fan Page หรือ Google Analytics มาใช้วิเคราะห์ว่าควรจะทำอย่างไรให้ผู้ชมมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น, การนำข้อมูลยอดขายของเซลส์มาใช้วิเคราะห์ว่าเดือนไหนควรทำงาน ควรหยุดงาน หรือควรจัดงานสัมมนา และอื่นๆ อีกมากมายตามแต่ว่าใครจะได้ทำงานเกี่ยวกับข้อมูลอะไร
          สำหรับเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นก็อาจเป็นเครื่องมือใกล้ตัวที่สุดอย่าง Microsoft Excel ที่จริงๆ แล้วก็มีความสามารถต่างๆ อยู่มากเพียงพอสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดเล็กเบื้องต้นอยู่แล้ว และก็เป็นเครื่องมือที่เชื่อว่าทุกๆ คนคงมีติดเครื่องเอาไว้ แต่น้อยคนนักที่จะใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
           ประเด็นสำคัญคือ “การหัดวิเคราะห์ข้อมูล” นั้นคือสิ่งที่เราทุกคนควรจะต้องฝึกฝนอยู่เสมอ ให้กระบวนการการคิดมีความเป็นวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มากขึ้น ในขณะที่การหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลกับธุรกิจให้ได้นั้นก็จะเป็นอีกความสามารถที่สำคัญในอนาคต

5. ทำความเข้าใจกับการเขียนโปรแกรมเบื้องต้น
ต่อไปนั้นการเขียนโปรแกรมจะได้เข้าไปมีบทบาทในส่วนหนึ่งของงานทุกคนอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าแต่ละคนนั้นก็อาจต้องเขียนโปรแกรมในระดับที่มีความซับซ้อนต่างกันไม่มากก็น้อยตามแต่เนื้องาน บางงานการเขียนโปรแกรมแค่ 2-3 บรรทัดก็สามารถลดงานที่ต้องทำซ้ำๆ เป็นประจำให้ง่ายลงได้กว่าเดิม บางงานอาจต้องเขียนโปรแกรมซับซ้อนกว่านั้น โดยนอกจากการเขียนโปรแกรมจะเป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว การทำความเข้าใจกับพื้นฐานของการเขียนโปรแกรมนั้น ก็จะทำให้เราเห็นภาพของการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ได้หลากหลายมากยิ่งขึ้นไปด้วยในตัว
การทำความเข้าใจกับการเขียนโปรแกรมเบื้องต้นนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่
การทำความเข้าใจกับแนวคิด Computational Thinking เพื่อให้เข้าใจก่อนว่าระบบ Computer ต่างๆ ในทุกวันนี้มีวิธีการทำงานและการประมวลผลอย่างไร เพื่อเป็นพื้นฐานต่อยอดในการศึกษาภาษาต่างๆ ในการเขียนโปรแกรมในอนาคตเองได้
        การทดลองหัดเขียนโปรแกรมด้วยภาษาต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพการทำงานจริง และใช้เป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อยอดทางด้านนี้ด้วยตัวเองได้ในอนาคต
        คนที่เขียนโปรแกรมเพื่อให้ทำงานทดแทนตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและประหยัดเวลาได้นั้น เมื่อเทียบกับคนที่เขียนโปรแกรมไม่ได้ ประสิทธิภาพในการทำงานจะต่างกันหลายเท่าเลยทีเดียว

6. หัดรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์ IT ที่ตนเองใช้งานอยู่ให้เป็น
เป็นอีกประเด็นสำคัญที่ทุกๆ คนในวันนี้ควรจะทำกันให้เป็น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใจพื้นฐานเบื้องต้นว่าอะไรคือ Virus, อะไรคือ Malware, อะไรคือ Ransomware และการโจมตีหรือการ Hack ต่างๆ นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรในมุมกว้าง รวมถึงการปกป้องตัวเองให้ปลอดภัยจากสิ่งเหล่านี้ให้ได้มากที่สุดนั้นควรทำอย่างไร ทั้งในเชิงพฤติกรรมและการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะการโจมตีในทุกวันนี้นั้นมีความรุนแรงสูงยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมาก งานหรือข้อมูลอันทรงคุณค่าขององค์กรอาจถูกขโมยหรือถูกทำลายได้ในชั่วพริบตาหากมีความปลอดภัยที่ไม่เพียงพอ (เคยมีบริษัทที่ถูกขโมยข้อมูลจนต้องล้มละลายมาแล้ววในอดีต) และเหล่าคนทำงานภายในองค์กรอย่างเราๆ นี่เองที่เป็นช่องที่เหล่า Hacker ใช้ในการโจมตีมากที่สุดกันในปัจจุบัน
การรู้จักแนวคิดเบื้องต้นและป้องกันตัวเองจากการโจมตีเหล่านี้ได้นั้น นอกจากจะส่งผลดีต่อการทำงานแล้ว ยังจะส่งผลดีต่อการใช้ชีวิตส่วนตัวอีกด้วย เพราะสุดท้ายแล้ว IT นั้นก็ได้กลายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา เราเริ่มสั่งซื้อสินค้าออนไลน์, จ่ายเงินค่าบริการต่างๆ ผ่าน Smartphone และเก็บข้อมูลสำคัญของเราเอาไว้ในอุปกรณ์เหล่านี้ การปกป้องข้อมูลสำคัญเหล่านี้เอาไว้ให้ได้นั้นก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการใช้ชีวิตประจำวันลงไปไม่มากก็น้อย
สิ่งหนึ่งที่ทุกคนควรเริ่มหัดทำกันตั้งแต่เนิ่นๆ เลยก็คือ การหัด Update และ Patch อุปกรณ์และ Software ที่ใช้งานในชีวิตประจำวันให้มีความปลอดภัยสูงสุด ไม่ว่าจะเป็น Smartphone, Tablet, Router, CCTV Camera และอื่นๆ อีกมากมาย ใครที่ทำไม่เป็นก็ลองให้ผู้เชี่ยวชาญ IT ที่รู้จักช่วยสอนทำเป็นก้าวแรกให้ดูก่อนก็ได้ และต้องทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างเป็นประจำให้ติดเป็นนิสัย เพื่อให้ชีวิตของเรามีความมั่นคงปลอดภัยอยู่ตลอดนั่นเอง

7. ดูแนวโน้มว่าในอุตสาหกรรมหรืองานที่ทำอยู่นั้น AI จะเข้ามามีบทบาทอย่างไร
การศึกษาดูว่าในอุตสาหกรรมของเราและใกล้เคียงนั้นเริ่มมีการนำ AI มาใช้ทำอะไรกันบ้างนั้น จะช่วยให้องค์กรสามารถวางกลยุทธ์หรือทดสอบเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ดีขึ้น และนำ AI มาใช้ในส่วนที่มีความสำคัญสูงสำหรับธุรกิจองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงอาจได้แนวคิดในการนำ AI มาสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ได้อีกด้วย

8. ดูแนวโน้มว่าในอุตสาหกรรมหรืองานที่ทำอยู่นั้น IoT จะเข้ามามีบทบาทอย่างไร
เช่นเดียวกับ AI ที่จะมาเปลี่ยนโฉมการทำธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิง Internet of Things (IoT) เองนี้ก็จะมีบทบาทมากไม่แพ้กับ AI ในอนาคต โดยการเพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อและรับส่งข้อมูลหรือประมวลผลให้กับอุปกรณ์, สถานที่, สินค้า, บริการ และกระบวนการต่างๆ นั้นจะช่วยให้องค์กรมีข้อมูลในการตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น, เปลี่ยนการทำงานบางอย่างให้กลายเป็นอัตโนมัติได้มากขึ้นและใช้คนน้อยลง, สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมหรือแนวคิดใหม่ๆ ทั้งในเชิงผลิตภัณฑ์ บริการ และการเงินได้ดีขึ้น และอื่นๆ อีกมากมาย

9. ดูแนวโน้มว่าในอุตสาหกรรมหรืองานที่ทำอยู่นั้น หุ่นยนต์จะเข้ามามีบทบาทอย่างไร
หลายๆ คนยังมีความสับสนระหว่าง AI และหุ่นยนต์กันอยู่บ้าง และชอบอ้างอิงถึงภาพยนตร์ซีรีส์ Terminator ทุกครั้งที่มีข่าวว่าเทคโนโลยีสองด้านนี้ถูกพัฒนาและกลัวว่ามันจะยึดครองโลก ในความเป็นจริงนั้นหลายๆ ธุรกิจได้เริ่มนำสองเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานกันมากขึ้นเรื่อยๆ และสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในแง่ของแรงงาน, การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในการผลิตได้อย่างรวดเร็ว, ความทนทานในการทำงาน และความคุ้มค่าในระยะยาว เรียกได้ว่าในอนาคตเมื่อเปรียบเทียบธุรกิจที่ใช้หุ่นยนต์กับธุรกิจที่ไม่ใช้หุ่นยนต์นั้น ก็จะสามารถเทียบเคียงในอดีตกับธุรกิจที่ใช้เครื่องจักรกับใช้แรงงานคนได้เลยทีเดียวก็เป็นได้

10. ค้นหาว่าปัจจุบันมีบริการ Cloud อะไรที่เกี่ยวข้องกับงานที่ตนทำบ้าง และทดลองใช้งานดู
ทุกวันนี้บริการ Cloud นั้นมีให้เลือกใช้งานกันได้อย่างหลากหลายและแทบจะครอบคลุมในทุกๆ สายงานในปัจจุบันแล้ว การเปิดหูเปิดตาดูว่าในปัจจุบันมีบริการ Cloud อะไรที่เกี่ยวข้องกับสายงานของเราหรือสามารถนำมาใช้ปรับปรุงการทำงานของเราได้บ้างก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะการทดลองหรือทดสอบการใช้งานบริการ Cloud นั้นมักจะทำได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว รวมถึงหากทดลองใช้งานแล้วมีประโยชน์จริง ก็สามารถเช่าใช้บริการนี้ได้อย่างง่ายดายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับตัวเราเองและพนักงานคนอื่นๆ ในองค์กรได้

11. ออกไปพูดคุยกับผู้คนสาย IT และธุรกิจรอบตัวให้มากขึ้น
ไม่เพียงแต่การติดตามข่าวสาระและทำการค้นคว้าหรือเรียนรู้ส่วนตัวเพิ่มเติม การออกไปพูดคุยกับคนสาย IT และธุรกิจหรือออกไปทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ นั้นก็จะทำให้มุมมองของเรากว้างขึ้นด้วยเช่นกัน และจะทำให้เราประเมินความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้งานได้แม่นยำมากขึ้น อีกทั้งหากในอนาคตต้องมีการเปิดธุรกิจใหม่ๆ หรือสร้างทีมงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นนั้น ความต้องการในเหล่าคน IT ที่มีความรู้ความสามารถ หรือคนสายธุรกิจที่เข้าใจด้านเทคโนโลยีเป็นอย่างดีก็จะเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน

12. วางแผนชีวิตตัวเองและองค์กรที่ทำงานอยู่ เตรียมตัวเองและพนักงานในองค์กรให้พร้อม
เมื่อมีข้อมูลพร้อม, ความสามารถพร้อม และ Connection พร้อมแล้ว การวางแผนสำหรับตัวเอง หรือวางกลยุทธ์สำหรับองค์กรก็จะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกลงทุนหรือใช้เวลาไปกับการพัฒนาความสามารถหรือเทคโนโลยีอะไรก่อน หรือจะเลือกทำอะไรด้วยเทคโนโลยีไหนนั่นเอง

by TechTalkThai.com